
อ่าน ROA เป็น เห็นประสิทธิภาพธุรกิจได้ชัดเจน
ในการประเมินประสิทธิภาพของบริษัท นักลงทุนไม่อาจพิจารณาเพียงตัวเลขกำไรสุทธิได้ เพราะกำไรอาจไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานอย่างแท้จริง เช่น การขายสินทรัพย์ การลดค่าใช้จ่ายชั่วคราว หรืออานิสงส์จากปัจจัยเฉพาะหน้า หากต้องการประเมิน “คุณภาพของการใช้ทรัพยากร” อย่างลึกซึ้ง นักลงทุนจำเป็นต้องใช้ตัวชี้วัดที่สะท้อนประสิทธิภาพเชิงโครงสร้างของบริษัท และหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดคือ ROA (Return on Assets)
ในบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้ว่า…
- ROA คืออะไร และสะท้อนคุณภาพธุรกิจอย่างไร
- วิธีดู ROA ผ่านแอป Finansia HERO แบบง่ายและเร็ว
- เกณฑ์ ROA ที่นักลงทุนใช้ประเมินธุรกิจสินทรัพย์หนัก
ROA คืออะไร?
ROA คืออัตราผลตอบแทนที่บริษัทสร้างได้จาก “ทรัพย์สินทั้งหมดที่บริษัทมีอยู่” ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักร อาคาร ที่ดิน ระบบโลจิสติกส์ หรือสินทรัพย์อื่น ๆ กล่าวคือ
ROA สูง = บริษัทใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างกำไรได้คุ้มค่า
ROA จึงเป็นตัวเลขที่ช่วยให้เห็นภาพว่า บริษัทสามารถเปลี่ยนทรัพยากรที่ถืออยู่ให้กลายเป็นกำไรได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโมเดลธุรกิจที่แข็งแรง
วิธีดู ROA ในแอป Finansia HERO


ทำไม ROA จึงสำคัญต่อการลงทุน?
- บอกประสิทธิภาพในการใช้ทรัพย์สินจริง ไม่ใช่กำไรที่เกิดจากปัจจัยชั่วคราว
- สะท้อนความสามารถของบริษัทในการบริหารสินทรัพย์ให้เกิดผลตอบแทนคุ้มค่า
- ใช้ประเมินธุรกิจที่ใช้สินทรัพย์จำนวนมาก เช่น โรงงาน พลังงาน ขนส่ง และค้าปลีก
- ช่วยตรวจสอบคุณภาพการเติบโต หากลงทุนเพิ่มแล้ว ROA ไม่ดีขึ้น อาจมีปัญหาด้านต้นทุนหรือการใช้ทรัพย์สิน
- ใช้ประกอบกับ ROE เพื่อแยกว่าผลตอบแทนมาจากความสามารถจริง หรือมาจากการใช้หนี้เป็นหลัก

ROA ช่วยให้นักลงทุนประเมินได้ว่า
- บริษัทใช้ทรัพย์สินที่ถืออยู่ “คุ้มค่า” หรือไม่
- กำไรที่เกิดขึ้นมาจาก ศักยภาพธุรกิจจริง หรือปัจจัยอื่น
- ธุรกิจมีพื้นฐานรองรับการเติบโตในระยะยาวหรือไม่
- การลงทุนก่อนหน้าเริ่มสร้างผลตอบแทนแล้วหรือยัง
ROA เป็นตัวเลขสำคัญที่ช่วยเปิดเผยประสิทธิภาพการใช้ทรัพย์สินของบริษัทอย่างแท้จริง ทำให้นักลงทุนสามารถประเมินคุณภาพของธุรกิจได้รอบด้านมากขึ้น บริษัทที่รักษา ROA ให้อยู่ในระดับดีอย่างต่อเนื่อง มักเป็นบริษัทที่บริหารจัดการได้มีประสิทธิภาพ มีวินัยด้านต้นทุน และมีศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืน
จึงไม่น่าแปลกที่ ROA ถูกรวมเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดหลักที่นักลงทุนมืออาชีพใช้เพื่อแยกแยะ “ธุรกิจที่แข็งแรงจริง” ออกจากธุรกิจที่ดูดีเพียงผิวเผิน






