skip to Main Content

อิสรภาพทางการเงินเกี่ยวข้องกับการลงทุนในหุ้นอย่างไร

เชื่อว่าเป้าหมายสูงสุดทางการเงินของคนส่วนใหญ่ คือ ต้องการจะมี “อิสรภาพทางการเงิน” ซึ่งเราอาจจะเคยเจอกับหลาย ๆ คนที่นำเงินที่มีอยู่ไปลงทุนในตลาดหุ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ ในบทความนี้ผมจึงอยากเสนอมุมมองให้เห็นว่าอิสรภาพทางการเงินกับการลงทุนในหุ้นนั้นมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร แล้วทำไมคนที่อยากมีอิสรภาพทางการเงินจำนวนไม่น้อยถึงเลือกการลงทุนในหุ้นเป็นเครื่องมือนำพาไปสู่ความสำเร็จ

มารู้จักอิสรภาพทางการเงินกันก่อน (Financial Freedom)

เมื่อพูดถึงคำว่า “อิสรภาพทางการเงิน” หลายคนอาจจะให้นิยามไม่เหมือนกันเป๊ะ ๆ แต่ในใจความสำคัญจะเกี่ยวข้องกับการเปรียบเทียบระหว่างรายได้กับค่าใช้จ่าย โดยมักจะหมายถึงการที่เรามีรายได้มากกว่าค่าใช้จ่ายที่เราต้องใช้ และแหล่งที่มาของรายได้เป็นกระแสเงินสดที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ต้องไปยุ่ง วุ่นวาย หรือใช้แรงกายทำงานเพื่อแลกกับเงิน รายได้ลักษณะนี้จะถูกเรียกว่า “Passive Income” ซึ่งมีความแตกต่างกับ “Active Income” ที่ต้องอาศัยแรงกายและเวลาแลกกว่าจะได้รับเงินก้อนนั้นมา

สำหรับวิธีการสร้างกระแสเงินสดแบบที่เราไม่ต้องทำงาน หรือ Passive Income มีอยู่หลายวิธี เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แล้วปล่อยเช่า การนำเงินไปฝากธนาคารหรือปล่อยกู้เพื่อรับดอกเบี้ย การซื้อหุ้นแล้วถือเพื่อรับเงินปันผล เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าวิธีที่จะสร้างรายได้แบบ Passive Income นั้นเป็นการครอบครองทรัพย์สินที่ตัวมันเองสามารถให้ผลตอบแทนโดยเราไม่ต้องทำอะไรเลย

มีข้อสังเกตว่า การที่เราจะได้ผลตอบแทนจากทรัพย์สินที่ครอบครองมากหรือน้อย ขึ้นกับปัจจัยหลัก 2 อย่าง คือ 1) ปริมาณทรัพย์สินที่มี และ 2) อัตราผลตอบแทนที่ได้จากทรัพย์สิน เช่น ถ้าเรามีปริมาณทรัพย์สินที่มากกว่าก็จะมีโอกาสสร้างรายได้ที่มากขึ้น หรือถ้าอัตราผลตอบแทนที่ได้จากทรัพย์สินมีมากกว่า ด้วยปริมาณทรัพย์สินที่เท่ากันก็จะสามารถสร้างรายได้ให้เราได้มากขึ้น เป็นต้น

“ดอกเบี้ยทบต้น” กับปริมาณทรัพย์สินที่เติบโตขึ้น

ดอกเบี้ยทบต้น คือ การที่เรานำผลตอบแทนที่ได้รับจากเงินลงทุนก้อนเดิมไปลงทุนต่อเรื่อย ๆ โดยไม่นำออกมาใช้จ่าย ซึ่งเรื่องของดอกเบี้ยทบต้นเป็นสิ่งที่มีความน่าสนใจอย่างมาก จนนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้  Albert Einstein ได้เคยกล่าวถึงครั้งนึงว่า “ดอกเบี้ยทบต้น คือ สิ่งมหัศจรรย์ของโลกเป็นอันดับที่ 8 ซึ่งใครสามารถเข้าใจมันได้ก่อน คนนั้นจะไม่พลาดโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากมัน”

เพื่อให้เห็นภาพความยิ่งใหญ่ของดอกเบี้ยทบต้น ผมจะขอยกตัวอย่าง โดยสมมติให้เราเริ่มต้นลงทุนด้วยเงิน 20,000 บาท และมีการเพิ่มเงินลงทุนทุก ๆ เดือน เพียงเดือนละ 3,000 บาท โดยลงทุนในทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 7% ต่อปี เมื่อเวลาผ่านไป 20 ปี…เงินต้น 740,000 บาท จะเพิ่มเป็น ประมาณ 1,640,000 บาท  

แต่ถ้าเราสามารถลงทุนทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนมากกว่านี้ และเพิ่มเวลาลงทุนอีก 10 ปี เช่น ลงทุนในทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 10% ต่อปี เป็นระยะเวลา 30 ปี… เงินต้นทั้งหมด 1,100,000 จะเพิ่มขึ้นเป็น 7,180,000 บาท !!!

เป็นอย่างไรบ้างครับ จากตัวอย่างที่ยกขึ้นมาช่วยให้เห็นความมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้นอย่างที่ Albert Einstein ว่าไว้กันใช่ไหมครับ ซึ่งจากตัวอย่างการลงทุนแบบดอกเบี้ยทบต้น จะเห็นได้ว่าถ้าเริ่มต้นเร็วเพื่อให้มีระยะเวลาในการลงทุนได้นาน และเลือกลงทุนในทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนที่ดี สุดท้ายเราก็จะมีทรัพย์สินก้อนใหญ่เพื่อนำไปสร้าง Passive Income เพียงแค่ใช้วิธีทยอยลงทุนด้วยเงินไม่มากแต่ลงทุนอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ

“หุ้น” ตัวเลือกที่น่าสนใจอันดับต้น ๆ

ปัจจัยหนึ่งที่จะส่งผลให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายด้านอิสรภาพทางการเงินได้เร็วหรือช้าก็คือ เราควรจะเลือกนำเงินไปลงทุนเพื่อครอบครองทรัพย์สินที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี  ถ้าเราดูจากข้อมูลในอดีตจะพบว่า ในระยะยาวการลงทุนในหุ้นจะให้ผลตอบแทนสูงอยู่ในอันดับต้น ๆ เมื่อเทียบกับทรัพย์สินประเภทอื่น โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ต่อปี

ด้วยเหตุผลข้างต้นจึงทำให้การลงทุนในหุ้นเป็นช่องทางหนึ่งที่มีประสิทธิภาพที่จะช่วยให้เราสามารถมุ่งสู่เป้าหมายได้ง่ายและรวดเร็ว ทั้งในมุมของการทำให้ทรัพย์สินเติบโตถึงจำนวนที่วางแผนไว้ และในมุมของการสร้างรายได้ เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่สูง จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้นถึงเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับผู้ที่สนใจสร้างอิสรภาพทางการเงินนั่นเอง

แนวทางสร้างอิสรภาพทางการเงินจากการลงทุนในหุ้น

สำหรับผู้ที่สนใจในการสร้างอิสรภาพทางการเงินด้วยการลงทุนในหุ้น ผมมีข้อแนะนำเบื้องต้น 4 ขั้นตอนที่จะช่วยให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ตามที่ตั้งใจไว้ ดังนี้

1. เริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน

ลำดับแรกเราควรเริ่มต้นด้วยการตั้งเป้าหมายเกี่ยวกับอิสรภาพทางการเงินให้ชัดเจนทั้งทางด้านระยะเวลาและจำนวนเงิน ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันอายุ 25 ปี ต้องการทำงานเป็นระยะเวลา 35 ปีจนถึงอายุ 60 ปี โดยหลังจากที่ไม่ได้ทำงานแล้วต้องการเงินเพื่อใช้จ่ายจำนวน 40,000 บาทต่อเดือน ไปอีก 20 ปีจนถึงอายุ 80 ปี เป็นต้น

2. ต้องมีแผนการชัดเจน

เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว สิ่งที่เราต้องทำในลำดับต่อไป คือ ต้องศึกษาและวางแผนที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ เช่น ต้องออมเงินเดือนละ 10% ของรายได้จากเงินเดือน และนำเงินไปลงทุนในหุ้นด้วยสัดส่วน 70% และส่วนที่เหลืออีก 30% ลงทุนในกองทุนประเภทตราสารหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ยประมาณ 8% ต่อปี เป็นระยะเวลา 35 ปี เป็นต้น  

3. ดำเนินการตามแผนที่ตั้งไว้อย่างมีวินัย

เมื่อมีการจัดทำแผนการแล้ว การดำเนินการตามแผนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่สุด  เนื่องจากถ้าเราไม่สามารถดำเนินการตามแผนที่วางไว้ได้อย่างมีวินัยแล้ว การที่จะไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

4. ติดตาม ประเมินผล อย่างสม่ำเสมอ

ในระหว่างที่เรากำลังดำเนินการตามแผนที่วางไว้ ควรจะมีการติดตามและประเมินผลอย่างสม่ำเสมอว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่ เนื่องจากอาจเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด หรือมีปัจจัยต่าง ๆ เข้ามากระทบ หากเราทราบปัญหาที่เกิดขึ้นได้เร็ว ก็จะช่วยให้เราหาทางแก้ไขปรับปรุงได้อย่างทันท่วงที

เป็นอย่างไรบ้างครับ หวังว่าหลังจากที่ทุกท่านอ่านบทความนี้จบแล้ว น่าจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับอิสรภาพทางการเงิน และความเกี่ยวข้องกันระหว่างอิสรภาพทางการเงินและการลงทุนในหุ้น เพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย สุดท้ายนี้ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีอิสรภาพทางการเงินด้วยการลงทุนในหุ้นอย่างมีความสุขครับ  

แชร์เพจ
Back To Top